-ข้อเขียนนี้ ไม่มีให้ท่านอ่านที่ไหน ทั่วทั้งจักรวาลอินเตอร์เนต
มีที่นี่(ที่บลอกนี้)ที่เดียว ณ 14 มิถุนายน 2556
-และไม่สงวนสิทธิ์
                                                                   เดฟ นาพญา -ผู้เขียน
          ตามประมวลกฎหมายอาญา บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  และท่านได้นิยามการกระทำโดยเจตนาไว้ด้วย ว่า เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำก็ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น เช่น ฆ่าคนตายโดยมีเจตนากระทำการฆ่าคน และประสงค์ให้เขาตาย เป็นต้น   
          ในภาษาไทยนั้น คำว่า “เจตนา” เป็นคำใหญ่โตลึกซึ้งและกว้างขวาง  ปรากฎอยู่ทั่วไปไม่เฉพาะเรื่องกฎหมาย เช่น อยู่ในเนื้อเพลงสมัยใหม่ว่า ไม่ได้เจตนา-ไม่ได้เจตนา  เป็นต้น  และใช้อยู่ในคำขอโทษขอโพยกับการกระทำความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อมิตรสหายในชีวิตประจำวัน  นอกจากนั้้น ผู้เขียนยังมีรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า ซึ่งท่านเป็นนักอักษรศาสตร์ที่มีชื่อเสียง เคยดำรงตำแหน่งคณบดีคณะอักษรศาสตร์ ท่านชื่อ เจตนา นาควัชระ  
ความสำคัญของคำว่า เจตนา ในภาษาไทยน่าจะมาจากพุทธภาษิตที่ว่า “เจตนานั่นแหละเป็นกรรม”  ซึ่งเป็นการสรุปตัดตอนจากพุุทธพจน์ที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนานั่นแหละเป็นกรรม  เมื่อมีเจตนาแล้ว บุคคลย่อมกระทำกรรมโดยทางกาย วาจา ใจ”
          ลึกลงไปอีก ในพระอภิธรรมก็สอนทำนองว่า ส่วนเล็ก ๆ ที่ประกอบกันเข้าประหนึ่งเป็นอะตอมของสภาวะแห่งจิตมนุษย์ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง  ท่านเรียกว่า “เจตสิก”
          เพราะฉะนั้น การที่หลักกฎหมายข้อนี้ กลายเป็นประเด็นค่อนข้างจะสากล กล่าวคือ มีวิญญูชน-ไม่ใช่พวกขี้ ๆ ผู้เคารพนับถือหลักกฎหมายอาญาหลักนี้กว่าครึ่งค่อนโลก  หมายถึงโลกของวิญญูชนไม่ใช่โลกของ-พวกขี้ ๆ  การที่หลักกฎหมายเกิดมาตรงเข้าพอดีกับหลักหนึ่งในศาสนา(พุทธ)—แต่ผู้เขียนเดาว่า แม้ในศาสนาอื่น ๆ ซึ่งผู้เขียนไม่มีความรู้  แต่เดาว่าก็น่าจะมีหลักการทำนองนี้ฝังอยู่เหมือนกัน  จึงเป็นเหตุมีส่วนช่วยให้หลัก “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา”  อันเป็นหลักกฎหมายขื่อแปบ้านเมือง(มรดกโรมัน) ไม่ใช่หลักศาสนาใด ๆ ได้กลายเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ข้ามชาติศาสนา ทะเล มหาสมุทร์ ห้วยหนองคลองบึง แผ่นฟ้าและผีสางเทวดา
          ส่วนผู้ที่ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน ฯลฯ  กฎหมายบัญญัติศัพท์เรียกผู้นั้นว่า “ผู้ใช้ให้กระทำความผิด”  ต้องระวางโทษเต็มร้อยตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เช่นเดียวกับตัวฆาตกรเอง  เราจะขอละเรื่อง “ผู้ใช้ให้กระทำความผิด” ไว้เพียงเท่านี้ เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องของเราอันได้แก่ ฆาตกรรม กับ บทกวี
          บทกวี  เป็น “กรรม” หรือการกระทำชนิดหนึ่ง  ที่กระทำลงโดยเจตนาแล้วปรากฏผลสุดท้ายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร 
          นักวิจารณ์วรรณคดีท่านหนึ่ง นามว่า อานันทะ กุมาระสวามี ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ การฆาตกรรมอย่างเชี่ยวชาญ กับ การเขียนบทกวีที่เชี่ยวชาญ ว่าเหมือนกันในแง่ศิลปะ จะแตกต่างกันเฉพาะประเด็นข้อศิลธรรม เท่านั้้น  กล่าวคือ ฆาตกรรมผิดศิลธรรม ส่วนบทกลอนไม่ผิดศิลธรรม
          ทั้งนี้ เพราะว่าทั้งสองเรื่องนี้ ถ้าได้กระทำลงตามเจตนาและบรรลุผล  ท่าน-หมายถึง อานันทะ กุมาระสวามี ถือว่าได้กระทำ“อย่างมีศิลปะ”  โดยที่ “อย่างมีศิลปะ” หรืออย่างไม่มีศิลปะ  วัดกันด้วยผลของการกระทำว่า จะตรงตามเจตนาที่ตั้งไว้หรือไม่  
          เช่น เมื่อได้ตั้งเจตนา หรือวางแผน เพื่อกระทำการฆาตกรรมอำพราง แล้วกระทำลงบรรลุผลตามแผน การฆาตกรรมนั้นมีศิลปะ  เช่นเดียวกับตั้งใจจะเขียนบทกวีพรรณนาความงาม แล้วเขียนได้สำเร็จ บทกวีบทนั้นก็มีศิลปะ  แต่ถ้าเขียนแล้วไม่สามารถพรรณนาให้งามได้ บทกวีบทนั้นก็ไร้ศิลปะ  หรือฆาตกรรมอำพรางที่อำพรางเอาไว้ไม่อยู่ ก็ถือว่าไร้ศิลปะ  เจตนาจึงเป็นตัวตั้งสำคัญ--ทั้งสำหรับการฆาตกรรมและการเขียนกลอน
          อานันทะ กุมาระสวามี  กล่าวว่า วิธีที่เราจะตั้งคำถามเอากับบทกวี หรืองานศิลป์ใด ๆ ก็ดี มีได้สองทาง คือ 
          1) ศิลปิน บรรลุถึงเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้หรือไม่  
          2) งานศิลป์ชิ้นนั้น สมควรจะถููกสร้างสรรค์ขึ้นมาหรือเปล่า  หรือว่าเมื่อสร้างขึ้นสำเร็จแล้วยังจะสมควรเก็บรักษาไว้หรือไม่ 
          อานันทะ กุมาระสวามี เห็นว่าคำถามที่สอง ไม่ใช่คำถามเชิงศิลปะ  แต่เป็นคำถามเชิงศิลธรรม ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรควร  คำถามเชิงศิลป์คือคำถามข้อหนึ่งเท่านั้น  
ดังนั้น ตามหลักของท่านว่าการพิจารณาตัดสินงานศิลป์ตามข้อสอง เป็นการพิเคราะห์เชิงศิลธรรม ไม่ใช่เชิง “ศิลปะ”  ผู้เขียนขอยกตัวอย่างต่อไปว่า การตัดสินใจระเบิดทำลายพระพุทธรูปสลักหินที่หน้าผาในอัฟกานิสถาน ของพวกตะลีบัน ก็ดี  การลบทำลายอักขระอาระบิคอันงดงามศักดิ์สิทธิ์จากพระคัมภีร์อัลกุระอ่าน ของพวกคริสเตียนในสเปน หลังจากไล่แขกมัวร์พ้นคาบสมุทร์ไอบีเรีย เพื่อแปลงสุเหร่ามาเป็นโบสถ์คริสต์ ก็ดี  การทุบทำลายเทวรูปพระพรหมณ์ที่หน้าโรงแรมไฮแอท ก็ดี ล้วนกระทำลงด้วยข้อพิจารณาตัดสินเชิง “ศิลธรรม”  ไม่ใช่เชิงศิลปะ
          ผู้วิจารณ์วรรณกรรมเช่นตัวผู้เขียนเองในบางครั้ง และแม้ท่านผู้อ่านที่ยืนชมงานศิลป์อยู่เงียบ ๆ คิดอ่านติชมอยู่ในใจ ในมโนนึก  แต่ไม่ได้เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เราต่างก็อยู่ในฐานะผู้วิจารณ์งานศิลป์เช่นเดียวกัน เราต่างกำลังเป็นผู้พิพากษา ผู้พยายามจะประเมินค้นหาเจตนาของเจ้าของงาน ว่าเขามีเจตนาอะไร  เหมือนกับที่นักกฎหมายหาทางกำหนดรู้เจตนาของพินัยกรรม ของนิติกรรมสัญญา หรือของรัฐธรรมนูญ หรือของผู้ประกอบฆาตกรรม
          แต่ผลงานศิลป์ชิ้นนั้น ไม่ใช่งานจากผีมือของเราสักนิด  ผู้พิพากษาไม่ได้เป็นผู้ทำอาชญากรรมด้วยตนเอง  แต่มีหน้าที่ต้องพยายามจะรู้ “เจตนา” ของฆาตกร  เป็นที่รู้กันนะว่า ศิลปินนี่แหละตัวดี  อำพรางเจตนาที่แท้จริงของตัวเองกันเก่ง ๆ ทั้งนั้น  อาจจะเก่ิงกว่าฆาตกรที่กระทำฆาตกรรมอำพราง บางคดีก็เป็นไ้ด้
          ผู้รู้ท่านหนึ่งถามเราว่า ใครจะสามารถรู้เจตนาของ จอห์น สไตเบ็ค ได้บ้างว่า  เขียนนวนิยายเรื่อง “เดอะ เกรพ ออฟ วราธ” ด้วยเจตนาอะไร?  ต้องการเพียงเล่าให้ฟังถึงความยากลำบากของครอบครัวหนึ่ง ที่จำต้องพรากจากบ้านในรัฐโอคลาโฮมา หรือว่าต้องการแสดงใ้ห้ผู้อ่านได้ทราบภาวะคับแค้นทางเศรษฐกิจ หรือว่านวนิยายเรื่องนั้นเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ให้คล้อยตามปรัชญาการเมืองบางอย่าง 
          หรือว่า ไม่ได้เกี่ยวกับทั้งสามประเด็นนั้นเลย?      
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น